ทนายเชียงใหม่
และทีมทนายความเชียงใหม่ ขอเรียนว่า การว่าจ้างเหมาก่อสร้าง
เป็นสัญญาจ้างทำของ หมายความว่า
สัญญาต่างตอบแทนซึ่งผู้รับจ้างตกลงรับจะทำการสิ่งใดสิ่งหนึ่งให้แก่ผู้ว่าจ้างจนสำเร็จ
และผู้ว่าจ้างตกลงจะให้สินจ้างเพื่อผลสำเร็จนั้น
กรณีผู้รับจ้างเรียกร้องค่าจ้าง
ในการที่จ้างยังทำไม่แล้วเสร็จ
ผู้ว่าจ้างอาจบอกเลิกสัญญาได้ แต่ต้องเสียค่าสินไหมทดแทนให้แก่ผู้รับจ้าง
การใช้สิทธิเรียกร้องให้ผู้ว่าจ้างชำระค่าจ้างนี้
ถือว่าผู้รับจ้างเป็นผู้ประกอบการการค้า จึงต้องใช้สิทธิเรียกร้องภายใน 2 ปีนับแต่วันส่งมอบงานงวดสุดท้าย
ตามประมวลกฎหมายแพ่งและพาณิชย์ มาตรา 193/34 (1)
หากคดีที่มีข้อพิพาทระหว่างเอกชนกับหน่วยงานรัฐเกี่ยวกับสัญญาจ้างก่อสร้างสิ่งต่างๆ
ซึ่งถือว่าเป็นสิ่งสาธารณูปโภค จึงเป็นข้อพิพาทเกี่ยวกับสัญญาทางปกครอง ทนายเชียงใหม่
และทีมทนายความเชียงใหม่ ขอเรียนว่า ผู้รับจ้างต้องยื่นฟ้องต่อศาลปกครอง
ในส่วนเงินประกัน
ผู้รับจ้างสามารถเรียกร้องได้ภายในอายุความ 10 ปี
นับแต่วันสิ้นสุดระยะเวลาประกันผลงาน
กรณีผู้ว่าจ้างเรียกร้อง
เหตุเนื่องจากงานบกพร่อง
หากสัญญามิได้กำหนดไว้เป็นอย่างอื่น
ผู้รับจ้างต้องรับผิดชอบเพื่อการชำรุดบกพร่องที่ปรากฎภายใน 1 ปีนับแต่วันส่งมอบ
หรือที่ปรากฎภายใน 5
ปี
ถ้าการที่ทำนั้นเป็นสิ่งปลูกสร้างติดกับพื้นดิน นอกจากโรงเรือนทำด้วยไม้
เว้นแต่ผู้รับจ้างจะปิดบังความชำรุดบกพร่อง
อย่างไรก็ตามผู้ว่าจ้างต้องฟ้องภายใน
1
ปี
นับแต่วันที่ความชำรุดปรากฎขึ้น
ถ้าผู้รับจ้างก่อสร้างอาคารส่งมอบอาคารซึ่งมีความชำรุดบกพร่อง
ทนายเชียงใหม่ และทีมทนายความเชียงใหม่ ขอเรียนว่าผู้ว่าจ้างชอบที่จะยึดหน่วงค่าจ้างไว้จนกว่าผู้รับจ้างจะแก้ไขความบกพร่องนั้นให้ดีและเสร็จสิ้น
เว้นแต่ผู้รับจ้างจะจัดหาประกันให้ตามสมควร แต่หากไม่ปรากฎความชำรุดบกพร่องแล้ว
ผู้ว่าจ้างก็ต้องชำระค่าจ้างในส่วนนี้แก่ผู้รับจ้าง
หากยึดหน่วงไว้ย่อมถือได้ว่าผิดนัดชำระหนี้
และต้องรับผิดชำระหนี้พร้อมดอกเบี้ยในอัตราร้อยละ 7.5 ต่อปีนับแต่วันผิดนัด
ตัวอย่าง คำพิพากษาศาลฏีกา
ที่น่าสนใจ
ประเด็น
ซ่อมแซมสิ่งปลูกสร้างที่ไม่ได้ติดอยู่กับพื้นดิน อายุความ เพียง 1 ปีนับแต่วันส่งมอบเท่านั้น
คำพิพากษาศาลฏีกาที่ 7116/2538
ตามสัญญาจ้างปรับปรุงพื้นดาดฟ้าหลังคาซ่อมแซมห้องน้ำห้องส้วมของธนาคารโจทก์
ซึ่งเป็นสิ่งปลูกสร้างที่มีอยู่ก่อนแล้ว
จำเลยซึ่งเป็นผู้รับจ้างต้องรับผิดในความชำรุดบกพร่องที่เกิดขึ้นภายใน 1 ปีนับแต่วันที่โจทก์รับมอบงาน
เมื่อมีรอยแตกร้าวบนพื้นดาดฟ้าเกิดขึ้นภายใน 1 ปี
จำเลยได้ซ่อมแซมและโจทก์รับมอบงานซ่อมแซมหน้า ทนายเชียงใหม่
และทีมทนายความเชียงใหม่ ขอเรียนว่า จำเลยจึงไม่ต้องรับผิดในรอยแตกร้ายเดิมที่เกิดขึ้นอีกเมื่อพ้น
1
ปีแล้ว
และความชำรุดบกพร่องอันเกิดจากการปรับปรุงพื้นดาดฟ้าหลังคาเช่นนี้ก็ไม่ใช่ความชำรุดบกพร่องที่เกิดจากสิ่งปลูกสร้างกับพื้นดิน
ซึ่งผู้รับจ้างต้องรับผิดภายใน 5 ปีนับแต่วันส่งมอบตามประมวลกฎหมายแพ่งและพาณิชย์
มาตรา 600
วรรคแรกด้วย
คำพิพากษาศาลฏีกาที่ 3537/2525
โจทก์ก่อสร้างอาคารตามข้อตกลงในสัญญารวมทั้งส่วนที่ตกลงเพิ่มเติมให้จำเลยเสร็จแล้ว
แต่ปรากฏว่าตัวอาคารมีรอยร้าวตามส่วนต่างๆ
หลายแห่งอันควรจะต้องได้รับการแก้ไขอันแสดงถึงผลงานที่ไม่เรียบร้อย
และโจทก์ไม่หาประกันมาให้จำเลยตามที่เรียกร้องได้ ทนายเชียงใหม่
และทีมทนายความเชียงใหม่ ขอเรียนว่า จำเลยจึงชอบที่จะยึดหน่วงสินจ้างไว้ได้ตามประมวลกฎหมายแพ่งและพาณิชย์
มาตรา 599
ส่วนค่าจ้างเกี่ยวกับการก่อสร้างเพิ่มเติมนั้น
เมื่อไม่ปรากฏว่ามีข้อชำรุดบกพร่องแต่อย่างใด
จำเลยก็ต้องชำระสินจ้างในส่วนนี้แก่โจทก์
ประเด็น
สิทธิเรียกร้องเงินประกันผลงาน อายุความ 10 ปี
คำพิพากษาศาลฎีกาที่ 6335/2550
เงินประกันผลงานที่จำเลยหักจากค่าจ้างที่จะต้องจ่ายให้โจทก์ในแต่ละงวดเป็นเรื่องที่โจทก์และจำเลยในฐานะคู่สัญญาประสงค์จะใช้เป็นหลักประกันความเสียหายที่อาจจะเกิดขึ้นจากการก่อสร้าง
จึงถือไม่ได้ว่าเป็นค่าจ้างค้างชำระที่โจทก์จะต้องใช้สิทธิเรียกร้องเสียภายใน 2 ปี
ตามประมวลกฎหมายแพ่งและพาณิชย์ มาตรา 193/34 (1) ทนายเชียงใหม่
และทีมทนายความเชียงใหม่ ขอเรียนว่า สิทธิเรียกร้องในกรณีนี้ไม่มีกฎหมายบัญญัติอายุความไว้เป็นการเฉพาะ
จึงมีอายุความ 10
ปี
ตามมาตรา 193/30
ประเด็น
ผู้ว่าจ้างยอมรับมอบงานที่ทำ
โดยมิได้อิดเอื้อนผู้รับจ้างไม่ต้องรับผิดเพื่อการที่ส่งมอบเนิ่นช้า
คู่สัญญามิได้ถือเอาระยะเวลาตามที่กำหนดในสัญญาเป็นสาระสำคัญจึงไม่มีสิทธิเรียกเบี้ยปรับ
คำพิพากษาศาลฎีกาที่ 3012/2552
นอกจากงานก่อสร้างตามสัญญา
จำเลยที่ 1
ให้โจทก์ทำงานเพิ่มเติมไปจากสัญญา
ซึ่งโจทก์ต้องใช้เวลาในการดำเนินการเพิ่มขึ้น ประกอบกับการส่งงานงวดที่ 14 และที่
15
โจทก์ส่งมอบพร้อมกันภายหลังล่วงพ้นระยะเวลาก่อสร้างสิ้นสุดแล้ว
แต่จำเลยที่ 1
ได้ชำระเงินค่างวดทั้งสองงวดให้โจทก์โดยไม่ปรากฏว่าในขณะรับมอบงานจำเลยที่
1
ได้อิดเอื้อนหรือสงวนสิทธิที่จะเรียกเอาเบี้ยปรับไว้
ทนายเชียงใหม่ และทีมทนายความเชียงใหม่ ขอเรียนว่า การที่จำเลยที่ 1 อ้างว่าจำเลยที่
2
ได้บอกโจทก์แล้วว่าจะมีคนมาใช้ประโยชน์ในอาคารที่ก่อสร้างก็เป็นเพียงคำปรารภหาใช่เป็นการสงวนสิทธิที่จะเรียกเอาเบี้ยปรับไม่
การที่จำเลยที่ 1 รับมอบงานงวดที่
14
และที่
15
ทั้งที่ระยะเวลาก่อสร้างสิ้นสุดแล้วและให้โจทก์ก่อสร้างงานงวดที่
16
ซึ่งเป็นงวดสุดท้ายต่อไป
ย่อมแสดงให้เห็นว่าจำเลยที่ 1 มิได้ถือเอาระยะเวลาตามสัญญาเป็นสำคัญ
ทั้งมีงานที่จำเลยที่ 1
ให้โจทก์ทำนอกเหนือสัญญาด้วย
จึงเป็นพฤติการณ์ที่บ่งชี้ว่าข้อสัญญาที่เกี่ยวกับการส่งมอบงานล่าช้าไม่แล้วเสร็จตามสัญญานี้
โจทก์และจำเลยที่ 1
ต่างมีเจตนาให้ระงับกันไปไม่ถือเป็นการผิดสัญญา
จึงทำให้จำเลยที่ 1
ไม่มีสิทธิเรียกเบี้ยปรับที่โจทก์ส่งมอบงานพ้นกำหนดเวลาสิ้นสุดตามสัญญาได้ตาม
ป.พ.พ. มาตรา 381
วรรคสาม
และมาตรา 597
ประเด็น กรณีถือว่า
รับมอบงานโดยอิดเอื้อนแล้ว ได้สงวนสิทธิไว้เช่นนั้นในเวลาชำระหนี้แล้ว
ผู้ว่าจ้างจึงมีสิทธิเรียกค่าปรับ
คำพิพากษาศาลฎีกาที่ 2919/2540
ในวันส่งมอบงานมีการโต้แย้งกันเรื่องค่าจ้าง
จึงมิใช่โจทก์รับมอบงานโดยไม่อิดเอื้อน และบันทึกที่จำเลยที่ 1ส่งมอบงานให้โจทก์ระบุว่าค่าปรับจำเลยที่
1
ขอผัดผ่อนไปก่อนโจทก์ขอสงวนสิทธิไว้เพื่อจะเรียกร้องต่อไป
ดังนี้จึงฟังได้ว่า โจทก์ได้สงวนสิทธิไว้เช่นนั้นในเวลาชำระหนี้แล้ว
โจทก์จึงมีสิทธิเรียกค่าปรับจากจำเลยทั้งสองได้
โจทก์ฟ้องโดยยกข้ออ้างที่อาศัยเป็นหลักแห่งข้อหาว่าจำเลยที่ 1 ทำงานผิดพลาดบกพร่อง
โจทก์ได้แจ้งให้จำเลยที่ 1มาจัดการซ่อมแซม
แต่จำเลยที่ 1
ไม่มาทำ
โจทก์ต้องไปจ้างช่างอื่นมาทำให้ใหม่ จำเลยที่ 1 ต้องรับผิดชดใช้ให้โจทก์รวมเป็นเงิน67,650 บาท
ซึ่งเป็นการฟ้องให้จำเลยที่ 1 ปฏิบัติตามสัญญาจึงมีอายุความ
10
ปี
ตามประมวลกฎหมายแพ่งและพาณิชย์มาตรา 193/30 ศาลชั้นต้นวินิจฉัยว่ารายการเกี่ยวกับการทาสีบ้าน
บันไดหลุดหลวม ก๊อกน้ำโถส้วม ปูนฉาบบ้านร้าวขาดอายุความ
โจทก์อุทธรณ์ว่ารายการดังกล่าวไม่ขาดอายุความ ศาลอุทธรณ์เห็นว่าคดีโจทก์ขาดอายุความจึงไม่ได้วินิจฉัยเกี่ยวกับความเสียหายดังกล่าวเป็นการไม่ปฏิบัติตาม
ประมวลกฎหมายวิธีพิจารณาความแพ่งว่าด้วยคำพิพากษาและคำสั่ง
และศาลฎีกาเห็นควรวินิจฉัยประเด็นที่ว่าจำเลยทั้งสองจะต้องรับผิดชดใช้ความเสียหายในรายการดังกล่าวหรือไม่โดยไม่ส่งสำนวนคืนไปให้ศาลอุทธรณ์วินิจฉัย
ตามประมวลกฎหมายวิธีพิจารณาความแพ่ง มาตรา 243(1)ประกอบมาตรา 247 บ้านโจทก์ชำรุดบกพร่อง
โจทก์ได้แจ้งให้จำเลยที่ 1
มาทำการซ่อมแซมแล้วแต่จำเลยที่
1
ไม่มา
โจทก์จึงมีสิทธิจ้างผู้อื่นให้ทำงานแทนจำเลยที่ 1 ได้และการที่จำเลยที่
1
ไม่ทำการซ่อมแซม
จำเลยที่ 1จึงผิดสัญญาข้อ
6
แม้โจทก์จะยังไม่ได้จ้างบุคคลอื่นซ่อมแทนจำเลยที่
1
ก็ตาม
แต่เมื่อจำเลยที่ 1
ก็เป็นฝ่ายผิดสัญญาและโจทก์ได้รับความเสียหายแล้ว
โจทก์จึงมีสิทธิฟ้องเรียกค่าจ้างบุคคลอื่นทำแทนจำเลยที่ 1 จากจำเลยทั้งสองได้
แต่ตามสัญญาก่อสร้างไม่ได้ระบุว่า ช่องหลังคาต้องป้องกันค้างคาวได้ จำเลยที่ 1จึงไม่ต้องรับผิดต่อโจทก์สำหรับรายการดังกล่าว
ทนายเชียงใหม่ และทีมทนายความเชียงใหม่ ขอเรียนว่า เมื่อปัญหาได้ยุติตามคำพิพากษาศาลชั้นต้นแล้วว่าโจทก์มีสิทธิเรียกค่าซ่อมรางน้ำฝนและเพดานโดยกำหนดให้จำนวน2,500 บาท
ศาลอุทธรณ์จึงไม่มีอำนาจยกปัญหาดังกล่าวขึ้นวินิจฉัยอีกว่าจำเลยทั้งสองไม่ต้องรับผิดในความชำรุดบกพร่องของรางน้ำฝนและเพดาน
และถือว่าปัญหานี้เป็นข้อที่ไม่ได้ยกขึ้นว่ากันมาโดยชอบในศาลอุทธรณ์
ศาลฎีกาไม่รับวินิจฉัยให้
ประเด็น
การคาดหมายล่วงหน้าได้แน่นอนว่า การที่ทำนั้นจะสำเร็จอย่างบกพร่อง
หรือจะเป็นไปในทางอันฝ่าฝืนข้อสัญญาเพราะความผิดของผู้รับจ้าง
ผู้ว่าจ้างจะบอกกล่าวให้ผู้รับจ้างแก้ไขสิ่งที่บกพร่องให้คืนดี
หรือทำการให้เป็นไปตามสัญญาภายในเวลาอันสมควร ซึ่งกำหนดให้ในคำบอกกล่าวนั้นก็ได้
ถ้าและคลาดกำหนดนั้นไป ผู้ว่าจ้างจะเอาการนั้นให้บุคคลภายนอกซ่อมแซมหรือทำต่อไปได้
ซึ่งผู้รับจ้างจะต้องเสียความเสียหายและออกค่าใช้จ่ายทั้งสิ้น
คำพิพากษาศาลฎีกาที่ 5302/2538
โจทก์กล่าวในคำฟ้องเกี่ยวกับการกระทำของจำเลยอันเป็นการผิดสัญญาจ้างทำของ
ทำให้โจทก์ได้รับความเสียหาย โจทก์จึงเรียกค่าเสียหายจากจำเลยหลายรายการ
แต่โจทก์คิดเพียง400,000
บาท
โดยแนบภาพถ่ายทาวน์เฮาส์ เครื่องโม่ปูนวัสดุก่อสร้างที่เหลือ บ้านพักคนงาน
รวมทั้งสิ่งก่อสร้างตามโครงการก่อสร้างของจำเลยที่ถนนเทพารักษ์มาท้ายฟ้องด้วยแม้มิได้บรรยายว่าโจทก์เริ่มลงมือก่อสร้างเมื่อใด
ทำงานเสร็จไปถึงงวดที่เท่าใดวัสดุก่อสร้างที่เหลืออยู่
จำนวนและราคาเท่าใดและการว่าจ้างโจทก์ก่อสร้างที่เทพารักษ์ มีหลักฐานอย่างใด
ก็ไม่เป็นฟ้องที่เคลือบคลุม เพราะข้อเท็จจริงดังกล่าวไม่ใช่สภาพแห่งข้อหา
ไม่จำต้องกล่าวในฟ้องทั้งเป็นรายละเอียดที่โจทก์สามารถนำสืบในชั้นพิจารณาได้
จำเลยต่อสู้คดีได้ถูกต้องแล้วคำฟ้องของโจทก์จึงไม่เคลือบคลุม
กรณีเพิ่งเริ่มงานตามสัญญา จำเลยก็ไม่ประสงค์ให้โจทก์ทำการก่อสร้าง
เหตุบอกเลิกสัญญา ก็อ้างเหตุโจทก์ทิ้งงานเท่านั้น
ซึ่งยังไม่พ้นกำหนดระยะเวลาก่อสร้างแล้วเสร็จ และโจทก์เองมิได้ทอดทิ้งงาน
ส่วนเรื่องโจทก์ก่อสร้างผิดแบบผิดหลักวิชาการก็รับฟังไม่ได้ ดังนี้เมื่อ
สัญญาจ้างยังไม่ถึงกำหนด และจำเลยผู้ว่าจ้างเห็นว่าหากให้
โจทก์ทำการก่อสร้างต่อไปจะเกิดความเสียหายเพราะงานล่าช้างานจำเลยจะเลิกสัญญาได้ก็ต้องบอกกล่าวกำหนดระยะเวลาให้โจทก์ปฏิบัติเสียก่อนตามประมวลกฎหมายแพ่งและพาณิชย์
มาตรา 387
แต่จำเลยก็มิได้ทำเช่นนั้น
จึงบอกเลิกสัญญาโดยเหตุดังกล่าวไม่ได้
การที่โจทก์ขอทำการก่อสร้างต่อไปและจำเลยไม่ยอมโดยว่าจ้างผู้อื่นก่อสร้างต่อไปและให้เลิกสัญญา
จะถือว่าโจทก์เป็นฝ่ายผิดสัญญาไม่ได้ แต่เป็นเรื่องจำเลยใช้สิทธิเลิกสัญญาโดยไม่ชอบ
และต้องถือว่าจำเลยเป็นฝ่ายผิดสัญญาเอง ทนายเชียงใหม่ และทีมทนายความเชียงใหม่ ขอเรียนว่า กรณีจ้างทำของเมื่อจำเลยผู้ว่าจ้างได้บอกเลิกสัญญาเองโดยโจทก์ผู้รับจ้างไม่ได้ทำผิดสัญญา
จำเลยจึงต้องรับผิดใช้ค่าสินไหมทดแทนให้แก่โจทก์เพื่อความเสียหายใด ๆ
อันเกิดแต่การเลิกสัญญานั้นตามประมวลกฎหมายแพ่งและพาณิชย์มาตรา 605 ส่วนค่าเสียหายที่จำเลยต้องรื้อถอนซ่อมแซมและเสียค่าก่อสร้างบ้านจนแล้วเสร็จ
เมื่อโจทก์มิได้เป็นฝ่ายผิดสัญญาจำเลยจึงไม่มีสิทธิเรียกร้องเอาจากโจทก์ได้
โจทก์ฟ้อง จำเลยให้การและฟ้องแย้ง โจทก์ให้การแก้ฟ้องแย้งแล้ว
ศาลล่างทั้งสองพิพากษาให้โจทก์ชนะคดีตามฟ้องโดยมิได้พิพากษายกฟ้องแย้งด้วยนั้น
ศาลฎีกาเห็นสมควรแก้ไขเสีย ให้ถูกต้อง
ประเด็น
ผู้รับจ้างส่งมอบการที่ทำไม่ทันเวลาที่ได้กำหนดไว้ในสัญญาก็ดี
หรือถ้าไม่ได้กำหนดเวลาไว้ในสัญญาเมื่อล่วงพ้นเวลาอันควรแก่เหตุก็ดี
ผู้ว่าจ้างชอบที่จะลดสินจ้างลง หรือถ้าสาระสำคัญแห่งสัญญาอยู่ที่เวลา
ก็ชอบที่จะเลิกสัญญาได้
แต่ถ้าผู้ว่าจ้างยอมรับมอบการที่ทำนั้นแล้วโดยมิได้อิดเอื้อน
ผู้รับจ้างก็ไม่ต้องรับผิดเพื่อการที่ส่งมอบเนิ่นช้า
คำพิพากษาศาลฎีกาที่ 6697/2540
เมื่อจำเลยฎีกาทั้งในส่วนของคำฟ้องเดิมและในส่วนของคำฟ้องแย้ง
ในกรณีเช่นนี้การพิจารณาทุนทรัพย์ที่พิพาทกันในชั้นฎีกาว่าจะฎีกาในข้อเท็จจริงได้หรือไม่ต้องแยกพิจารณากันคนละส่วน
มิใช่พิจารณาทุนทรัพย์รวมกัน
ปัญหาที่จำเลยฎีกาว่า
จำเลยได้ชำระเงินงวดที่ 5
จำนวน
200,000
บาท
ให้แก่โจทก์แล้ว เป็นฎีกาในข้อเท็จจริงในประเด็นซึ่งอยู่ในส่วนของคำฟ้องเดิม
เมื่อทุนทรัพย์ที่พิพาทกันในชั้นฎีกาไม่เกินสองแสนบาท
ย่อมต้องห้ามมิให้คู่ความฎีกาในข้อเท็จจริงตามประมวลกฎหมายวิธีพิจารณาความแพ่ง
มาตรา 248
วรรคหนึ่ง
ศาลฎีกาไม่รับวินิจฉัยในปัญหานี้
ส่วนปัญหาประการที่สองจำเลยฎีกาว่า
โจทก์ต้องชำระค่าปรับเป็นระยะเวลา221 วัน เป็นเงิน 221,000 บาท
ให้แก่จำเลยซึ่งเป็นฎีกาในข้อเท็จจริงในประเด็นที่เกี่ยวกับสิทธิเรียกค่าปรับตามสัญญาจากโจทก์ซึ่งอยู่ในส่วนของคำฟ้องแย้งเมื่อคดีส่วนนี้ทุนทรัพย์ที่พิพาทกันในชั้นฎีกาเกินกว่าสองแสนบาท
จำเลยจึงฎีกาในข้อเท็จจริงได้
แม้โจทก์ผู้รับจ้างจะก่อสร้างอาคารให้จำเลยไม่แล้วเสร็จภายในกำหนดเวลาที่ได้กำหนดไว้ในสัญญา
แต่จำเลยก็ตกลงยินยอมให้โจทก์ทำการก่อสร้างต่อจนอาคารแล้วเสร็จ
และจำเลยได้จดทะเบียนโอนขายอาคารนั้นให้บุคคลอื่นไป
หลังจากนั้นจำเลยยังให้โจทก์ก่อสร้างเพิ่มเติมอาคารอีกหลังหนึ่งด้วยและจำเลยก็ไม่ติดใจเรื่องค่าปรับวันละ
1,000
บาท
ตามสัญญา
ดังนี้เมื่อจำเลยไม่ได้เคร่งครัดเรื่องกำหนดเวลาการก่อสร้างและไม่ได้ติดใจในเรื่องค่าปรับ
ทั้งยังยอมรับผลงานของโจทก์หลังจากพ้นกำหนดเวลาตามสัญญาแล้ว
อันเป็นการยอมรับชำระหนี้โดย มิได้สงวนสิทธิที่จะเรียกเอาเบี้ยปรับ ทนายเชียงใหม่
และทีมทนายความเชียงใหม่ ขอเรียนว่า จำเลยย่อมหมดสิทธิที่จะเรียกเอาเบี้ยปรับจากโจทก์ตามประมวลกฎหมายแพ่งและพาณิชย์
มาตรา 381
วรรคสาม
ตามทุนทรัพย์ที่จำเลยฎีกาแยกเป็นในส่วนที่เกี่ยวกับฟ้องเดิม
200,000
บาทในส่วนที่เกี่ยวกับฟ้องแย้ง
221,000
บาท
แต่จำเลยเสียค่าขึ้นศาลชั้นฎีกาจากทุนทรัพย์259,067 บาท
เป็นเงินค่าขึ้นศาล 6,477.50
บาท
เมื่อศาลฎีกาไม่รับวินิจฉัยฎีกาจำเลยที่เกี่ยวกับฟ้องเดิม
เพื่อประโยชน์แห่งความยุติธรรม
ศาลฎีกาจึงถือว่าจำเลยเสียค่าขึ้นศาลในส่วนที่เกี่ยวกับฟ้องแย้งจากทุนทรัพย์ 221,000 บาท
เป็นค่าขึ้นศาล 5,525บาท
ครบถ้วน ส่วนที่เหลือถือว่าเป็นค่าขึ้นศาลในส่วนที่เกี่ยวกับฟ้องเดิมจำนวน952.50 บาท
แม้จะไม่ครบ แต่เมื่อศาลฎีกาไม่รับวินิจฉัยฎีกาจำเลยในส่วนที่เกี่ยวกับฟ้องเดิม
เพราะต้องห้ามมิให้คู่ความฎีกาในข้อเท็จจริงตามประมวลกฎหมายวิธีพิจารณาความแพ่ง
มาตรา 248
วรรคหนึ่ง
เสียแล้ว ศาลฎีกาจึงต้องคืนค่าขึ้นศาลในส่วนที่เหลือนี้แก่จำเลย
ประเด็น
การที่จ้างยังทำไม่แล้วเสร็จ ผู้ว่าจ้างอาจบอกเลิกสัญญาได้
เมื่อเสียค่าสินไหมทดแทนให้แก่ผู้รับจ้างเพื่อความเสียหายอย่างใดๆ อันเกิดแต่การเลิกสัญญานั้น
คำพิพากษาศาลฎีกาที่ 6598/2541
แม้การดำเนินการก่อสร้างของโจทก์ล่าช้า
คนงานน้อยเครื่องมือไม่ทันสมัย
ไม่สามารถก่อสร้างให้แล้วเสร็จตามสัญญาแต่สัญญาว่าจ้างฉบับพิพาทระบุเพียงว่า
ผู้รับจ้างจะทำการก่อสร้างให้อยู่ภายในสัญญาจะเกินสัญญาไม่ได้เท่านั้นสัญญาว่าจ้างมิได้กำหนดระยะเวลาก่อสร้างไว้ชัดแจ้งทั้งโจทก์ก็ประสงค์จะทำงานต่อไปหากจำเลยเห็นว่าโจทก์ทำงานล่าช้ามาก
จะเกิดความเสียหาย
จำเลยทั้งสองจะเลิกสัญญาได้ก็ต้องบอกกล่าวกำหนดระยะเวลาพอสมควรให้โจทก์ปฏิบัติเสียก่อน
ตามประมวลกฎหมายแพ่งและพาณิชย์ มาตรา 387 แต่จำเลยมิได้กระทำ
แต่จำเลยกลับให้โจทก์หยุดดำเนินการ ก่อสร้างทันที
และว่าจ้างบุคคลอื่นทำการก่อสร้างแทนโจทก์ ดังนี้ ทนายเชียงใหม่
และทีมทนายความเชียงใหม่ ขอเรียนว่า การที่จำเลยบอกเลิกสัญญาต่อโจทก์ด้วยเหตุ
ดังกล่าวย่อมเป็นการใช้สิทธิในการเลิกสัญญาโดยไม่ชอบ จำเลยจึงเป็นฝ่ายผิดสัญญา
ต้องชดใช้ค่าสินไหมทดแทนแก่โจทก์เพื่อความเสียหายใด ๆ
อันเกิดจากการเลิกสัญญาตามมาตรา 605
ประมวลกฎหมายแพ่งและพาณิชย์
ที่เกี่ยวข้อง
มาตรา 587 อันว่าจ้างทำของนั้น
คือ สัญญาซึ่งบุคคลคนหนึ่งเรียกว่าผู้รับจ้าง
ตกลงจะทำการงานสิ่งใดสิ่งหนึ่งจนสำเร็จให้แก่บุคคลอีกคนหนึ่งเรียกว่าผู้ว่าจ้าง
และผู้ว่าจ้างตกลงจะให้สินจ้างเพื่อผลสำเร็จแห่งการที่ทำนั้น
มาตรา 596 ถ้าผู้รับจ้างส่งมอบการที่ทำไม่ทันเวลาที่ได้กำหนดไว้ในสัญญาก็ดี
หรือถ้าไม่ได้กำหนดเวลาไว้ในสัญญา เมื่อล่วงพ้นเวลาอันควรแก่เหตุก็ดี
ผู้ว่าจ้างชอบที่จะได้ลดสินจ้างลง
หรือถ้าสาระสำคัญแห่งสัญญาอยู่ที่เวลาก็ชอบที่จะเลิกสัญญาได้
มาตรา 597 ถ้าผู้ว่าจ้างยอมรับมอบการที่ทำนั้นแล้วโดยมิได้อิดเอื้อน
ผู้รับจ้างก็ไม่ต้องรับผิดเพื่อการที่ส่งมอบเนิ่นช้า
มาตรา 599 ในกรณีที่ส่งมอบเนิ่นช้าไปก็ดี
หรือส่งมอบการที่ทำชำรุดบกพร่องก็ดี
ท่านว่าผู้ว่าจ้างชอบที่จะยึดหน่วงสินจ้างไว้ได้
เว้นแต่ผู้รับจ้างจะให้ประกันตามสมควร
มาตรา 600 ถ้ามิได้กำหนดไว้เป็นอย่างอื่นในสัญญาไซร้
ท่านว่าผู้รับจ้างจะต้องรับผิด
เพื่อการที่ทำชำรุดบกพร่องเพียงแต่ที่ปรากฏขึ้นภายในปีหนึ่งนับแต่วันส่งมอบ
หรือที่ปรากฏขึ้นภายใน 5
ปี
ถ้าการที่ทำนั้นเป็นสิ่งปลูกสร้างกับพื้นดิน นอกจากเรือนโรงทำด้วยเครื่องไม้
แต่ข้อจำกัดนี้ท่านมิให้ใช้บังคับ
เมื่อปรากฏว่าผู้รับจ้างได้ปิดบังความชำรุดบกพร่องนั้น
มาตรา 601 ท่านห้ามมิให้ฟ้องผู้รับจ้างเมื่อพ้นปีหนึ่ง
นับแต่วันการชำรุดบกพร่องได้ปรากฏขึ้น
มาตรา 605 ถ้าการที่จ้างยังทำไม่แล้วเสร็จอยู่ตราบใด
ผู้ว่าจ้างอาจบอกเลิกสัญญาได้
เมื่อเสียค่าสินไหมทดแทนให้แก่ผู้รับจ้างเพื่อความเสียหายอย่างใดๆ
อันเกิดแต่การเลิกสัญญานั้น
ข้อแนะนำเพิ่มเติมจากทนายเชียงใหม่
และทีมทนายความเชียงใหม่
1 การก่อสร้างบ้าน
แม้กฎหมายจะไม่ได้บังคับให้ต้องทำเป็นสัญญา แต่ผู้รับจ้างและผู้ว่าจ้าง
ควรต้องทำเพื่อป้องกันปัญหาไว้เสมอ
2 ข้อสำคัญที่ต้องระบุในสัญญาดังนี้
2.1 แบบก่อสร้าง
ขอบเขตของงาน
2.2 กำหนดระยะเวลาก่อสร้าง
2.3 กำหนดเรื่องงานเพิ่ม-ลด
สำหรับในเรื่องการเปลี่ยนแปลงราคาที่จะเกิดขึ้น
2.3 รายการเเสดงปริมาณงาน
เเยกรายละเอียดราคาวัสดุและค่าเเรง (BOQ=Bill of Quantity)
3 การแบ่งจ่ายเงิน
3.1 งวดเเรก ประมาณ 5 - 10 % ของค่าจ้างทั้งหมด
3.2 ส่วนงวดสุดท้าย
ไว้เป็นค่าการประกันการทิ้งงานและรับประกันผลงาน (ภายใน 1 ปี
นับแต่วันส่งมอบ) ซึ่งควรมีการหักประกันผลงานของเเต่ละงวดงานด้วย
#ทนายเชียงใหม่อาสาช่วยท่านด้วยใจ #ทนายเชียงใหม่ #ทนายความเชียงใหม่
#ทนายเชียงใหม่เก่ง #ปรึกษาทนายเชียงใหม่
#ทนายอาสาเชียงใหม่ #ปรึกษาทนายเชียงใหม่ฟรี
#ทนายความเชียงใหม่มืออาชีพ #ที่ปรึกษากฎหมายเชียงใหม่
#ปรึกษาทนายเชียงใหม่ #รายชื่อทนายความเชียงใหม่
#สำนักทนายความเชียงใหม่ #ทนายเก่งๆเชียงใหม่
#สภาทนายความเชียงใหม่ #สำนักงานกฎหมายเชียงใหม่
#ทนายที่ดินเชียงใหม่ #ทนายอาสาศาลเชียงใหม่
#ทนายอาสาศาลากลางเชียงใหม่ #กฎหมายเชียงใหม่
#สำนักงานทนายความเชียงใหม่ #สำนักงานกฎหมายเชียงใหม่
#สำนักงานกฎหมายในจังหวัดเชียงใหม่ #ทนายฝึกงานเชียงใหม่
#ฝึกงานทนายเชียงใหม่ #LawFirmเชียงใหม่
#ปรึกษาทนายเชียงใหม่
#ทนายเก่งเชียงใหม่ #ทนายเชียงใหม่pantip #ทนายอาสาเชียงใหม่ #ปรึกษาทนายฟรีเชียงใหม่
#ทนายเชียงใหม่เก่ง #ทนายความเชียงใหม่เก่ง
#ทนายอาสาเชียงใหม่ฟรี #สํานักงานกฎหมาย
เชียงใหม่ #ทนายครอบครัวเชียงใหม่
POST BY : ทนายเชียงใหม่,
ทนายความเชียงใหม่, หอการค้าเชียงใหม่,
สภาอุตสาหกรรมเชียงใหม่,
สำนักงานทนายความเชียงใหม่, สำนักงานกฎหมายเชียงใหม่,
สำนักงานกฎหมายในจังหวัดเชียงใหม่, ปรึกษาทนายเชียงใหม่,
ทนายอาสาเชียงใหม่, ปรึกษาทนายเชียงใหม่ฟรี,
ทนายเชียงใหม่เก่ง, สภาทนายความเชียงใหม่,
ทนายความเชียงใหม่มืออาชีพ, ที่ปรึกษากฎหมายเชียงใหม่,
ทนายเชียงใหม่ฟรี, ทนายที่ดินเชียงใหม่,
ทนายอาสาศาลเชียงใหม่, ทนายอาสาศาลากลางเชียงใหม่, กฎหมายเชียงใหม่, ทนายอาสาเชียงใหม่, สภาทนายเชียงใหม่,
ปรึกษาทนายเชียงใหม่, ทนายเก่งเชียงใหม่, ทนายความเชียงใหม่เก่ง,
ทนายเชียงใหม่pantip, ทนายอาสาเชียงใหม่,
ปรึกษาทนายฟรีเชียงใหม่, LawFirmเชียงใหม่, ปรึกษาทนายฟรีเชียงใหม่,
ทนายเชียงใหม่เก่ง, ทนายอาสาเชียงใหม่ฟรี,
สํานักงานกฎหมายเชียงใหม่, ทนายครอบครัวเชียงใหม่,
ทนายความเชียงใหม่คดีหย่า, ทนายความเชียงใหม่คดีกู้ยืม, ทนายความเชียงใหม่คดีเช็ค,
ดร.เกียรติศักดิ์ทนายเชียงใหม่,
ทนายวิถีพุทธทนายเชียงใหม่, เนติบัณฑิตย์ไทยทนายเชียงใหม่